ฝ่าวิกฤตราคาพลังงานและค่าไฟฟ้า ด้วยโซลาร์เซลล์ ทางออกเชิงวิศวกรรมสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนครั้งใหญ่ ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ต่างต้องรับมือกับความท้าทายจาก วิกฤตราคาพลังงาน ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลโดยตรงจากความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลก ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อต้นทุนการดำเนินงานและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต วิกฤตการณ์นี้ได้ผลักดันให้ผู้ประกอบการต้องเร่งมองหา ทางเลือกในการลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาว และเพิ่มเสถียรภาพทางพลังงานขององค์กร ซึ่งการลงทุนในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ได้กลายเป็นคำตอบเชิงกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ

Pain Point สำคัญของโรงงานอุตสาหกรรมในยุควิกฤตพลังงาน

ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ ต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายประการจากสถานการณ์พลังงานในปัจจุบัน โดยแบ่งเป็นด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. ต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน

ค่าไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนที่สูงในต้นทุนการผลิต: สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเข้มข้น เช่น เหล็ก เคมีภัณฑ์ หรือสิ่งทอ ค่าไฟฟ้าสามารถคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 15-40% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด การปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าเพียงเล็กน้อย ก็ส่งผลกระทบมหาศาลต่อกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

การควบคุมงบประมาณที่ทำได้ยาก: ความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติและเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไฟฟ้า ทำให้การคาดการณ์และจัดทำงบประมาณค่าไฟฟ้าล่วงหน้าเป็นเรื่องยาก ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนและการบริหารสภาพคล่อง

 

2. ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการผลิตและการบริหารจัดการ

ความผันผวนของค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด (Demand Charge): โรงงานที่ใช้ไฟฟ้าในระบบ TOU (Time of Use) จะต้องจ่ายค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand Charge) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของบิลค่าไฟฟ้า หากไม่สามารถควบคุม Peak Demand ได้ดี ก็จะเผชิญกับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละเดือน

ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของโครงข่ายไฟฟ้า: การพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่ายหลักเพียงอย่างเดียว อาจทำให้โรงงานมีความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของการผลิต (Production Downtime) หากเกิดปัญหาด้านการจ่ายไฟฟ้าหรือวิกฤตพลังงานระดับประเทศ

 

3. แรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมและการยกระดับภาพลักษณ์องค์กร (ESG)

ข้อกำหนดด้าน ESG และ Carbon Footprint: ผู้บริโภค คู่ค้า และนักลงทุนในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมจึงถูกกดดันให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) และหันมาใช้พลังงานสะอาด หากไม่ปรับตัว อาจส่งผลกระทบต่อโอกาสทางธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว

โซลาร์เซลล์: ก้าวสำคัญสู่การลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถทางวิศวกรรมพลังงาน

การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) หรือบนพื้นที่ว่างในโรงงาน ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่คือการลงทุนเชิงวิศวกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1. การลดต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างยั่งยืนและเพิ่มความสามารถในการคาดการณ์

การผลิตไฟฟ้าใช้เอง (Self-Consumption): ระบบโซลาร์เซลล์ช่วยให้โรงงานสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดและค่าไฟฟ้ามีราคาสูง การลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่ายหลักโดยตรงส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

การบริหารจัดการ Peak Demand (Peak Shaving): ด้วยการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในช่วงเวลา Peak Demand โรงงานสามารถลดค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด (kW Charge) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดค่าใช้จ่ายโดยรวมในแต่ละเดือน

การป้องกันความเสี่ยงจากราคาพลังงานผันผวน (Hedging): เมื่อติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ โรงงานจะสามารถกำหนดต้นทุนพลังงานส่วนหนึ่งได้คงที่ไปอีก 20-25 ปี ซึ่งเป็นอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์ ช่วยให้การวางแผนงบประมาณระยะยาวมีความแม่นยำและมั่นคงยิ่งขึ้น

 

2. การเพิ่มเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานด้วยวิศวกรรมอัจฉริยะ

ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems – ESS): การบูรณาการระบบโซลาร์เซลล์เข้ากับแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System – BESS) ช่วยให้โรงงานสามารถจัดเก็บพลังงานส่วนเกินที่ผลิตได้ในช่วงกลางวัน เพื่อนำมาใช้ในช่วงกลางคืน หรือในช่วงที่ค่าไฟฟ้าสูง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองในกรณีที่ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าขัดข้อง (Backup Power) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Smart Inverters และ Energy Management Systems (EMS): อินเวอร์เตอร์รุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Inverters) สามารถทำงานร่วมกับระบบบริหารจัดการพลังงาน (EMS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับโหลดของโรงงาน การมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ช่วยให้วิศวกรสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงการใช้พลังงานได้อย่างต่อเนื่อง ลดการสูญเสีย และเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ

 

3. การยกระดับภาพลักษณ์องค์กรและสนับสนุนเป้าหมาย ESG

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emission Reduction): การใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลด Carbon Footprint ของโรงงาน และสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ

สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: การแสดงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนผ่านการใช้พลังงานสะอาด ไม่เพียงช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่ยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดึงดูดนักลงทุนที่เน้นการลงทุนอย่างยั่งยืน

กรณีศึกษา: โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ABC จำกัด

ปัญหา:

โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ABC จำกัด ซึ่งมีกำลังการผลิตสูง และใช้เครื่องจักรที่กินไฟมาก ต้องเผชิญกับค่าไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) ในช่วงกลางวัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อต้นทุนการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก

 

การแก้ไขทางวิศวกรรม:

ทีมวิศวกรได้ทำการศึกษาและตัดสินใจลงทุนติดตั้งระบบ Solar Rooftop ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ (MW) บนพื้นที่หลังคาโรงงาน พร้อมติดตั้ง Smart Inverter ที่สามารถบริหารจัดการการจ่ายไฟฟ้าให้สอดคล้องกับโหลดการใช้งานของโรงงานแบบเรียลไทม์ และเตรียมพร้อมสำหรับการติดตั้งระบบ Battery Energy Storage System (BESS) ในเฟสถัดไปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการ Peak Shaving และ Backup Power

 

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้:

1. ลดค่าไฟฟ้าเฉลี่ยได้ 28-35% ต่อเดือน: การผลิตไฟฟ้าใช้เองในช่วงกลางวันทำให้โรงงานสามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากโครงข่ายหลักได้มหาศาล โดยเฉพาะในช่วง On-Peak

2. ลดค่า Peak Demand ได้อย่างมีนัยสำคัญ: ระบบโซลาร์เซลล์ช่วยลดปริมาณไฟฟ้าสูงสุดที่ดึงจากโครงข่าย ทำให้ค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดลดลงอย่างเห็นได้ชัด

3. คืนทุนภายในระยะเวลา 4.5 ปี: จากการคำนวณต้นทุนการติดตั้งและส่วนต่างของค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้

4. ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1,500 ตันต่อปี: ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 150,000 ต้น

5. เสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน: โรงงาน ABC จำกัด ได้รับการยอมรับจากคู่ค้าและลูกค้าในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นในการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

วิกฤตราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นเป็นความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับภาคอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะพิจารณาการลงทุนในเทคโนโลยี โซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นทางออกเชิงวิศวกรรมที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถ ลดต้นทุน ได้อย่างยั่งยืน เพิ่ม เสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงาน ตลอดจนตอบสนอง เป้าหมายด้านความยั่งยืน (ESG) ขององค์กร การตัดสินใจลงทุนในวันนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายระยะสั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของโรงงานอุตสาหกรรมไทย

สำหรับท่านที่สนใจสอบถาม "ข้อมูลเชิงลึกด้านระบบโซลาร์เซลล์" ที่เหมาะสมกับโรงงานของคุณ โปรดติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเรา

กรุณากรอกข้อมูลการติดต่อของท่านในหน้าติดต่อเรา แล้ววิศวกรของเราจะติดต่อกลับโดยเร็วที่สุด

✉️

Purchasing Department : phaiboono@wce.co.th   |   Human Resources and Administration Department : hrmwce@wce.co.th   |   Sales Department : international@wce.co.th

Headquarters Bangkok

16 K&Y Building 5 Fl., Surasak Road, Silom Sub-District, Bangrak District, Bangkok, 10500
Mobile Phone +66 (06) 5937 6283 
Fax +66 (0) 2233 6669

Factory Bang Saphan

9/1 Moo 4, BanKlangNa – YaiPloy Road, Maerumphueng, BangSaphan, PrachuapKhiriKhan 77140
Telephone +66 (0) 3290 6112 – 119
Fax +66 (0) 3290 6120