ในโลกของแผงโซลาร์เซลล์ มีเทคโนโลยีแผงที่น่าสนใจ คือ แผงโซลาร์เซลล์แบบรับแสงด้านเดียว (Mono-facial หรือ Single-side) ซึ่งถูกออกแบบมาให้รับแสงอาทิตย์และผลิตกระแสไฟฟ้าจากด้านบนเพียงด้านเดียว และ แผงโซลาร์เซลล์แบบรับแสงสองด้าน (Bi-facial) ที่สามารถรับแสงอาทิตย์และผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง โดยทั่วไป แผง Bi-facial ให้ประสิทธิภาพการผลิตพลังงานสูงกว่า แต่ก็มีต้นทุนติดตั้งและข้อกำหนดทางเทคนิคที่มากกว่าด้วยเช่นกัน
ความแตกต่างระหว่างแผงโซลาร์เซลล์แบบ Mono-facial และ Bi-facial ในเชิงเทคนิควิศวกรรม
แผง Mono-facial ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ที่มีผิวสัมผัสด้านเดียวในการรับแสง โดยมีพื้นหลังทึบแสง เช่น แผ่นแบ็คชีท (backsheet) ที่สะท้อนหรือดูดซับแสง ทำให้การแปลงพลังงานจำกัดเฉพาะแสงที่ตกกระทบด้านหน้าเท่านั้น ส่วนแผง Bi-facial ใช้เซลล์แบบโปร่งแสง (glass-to-glass หรือ glass-to-transparent backsheet) ที่เปิดให้แสงสามารถตกกระทบด้านหลังได้ ซึ่งในเชิงฟิสิกส์จะเพิ่มการดูดกลืนโฟตอนจากการสะท้อนของแสงที่ตกกระทบพื้นผิวหรือโครงสร้างใกล้เคียง ทำให้เกิดการกระตุ้นอิเล็กตรอนในเซลล์ได้ทั้งสองด้าน เพิ่มกระแสไฟฟ้าโดยรวม
ในแง่วิศวกรรม แผง Bi-facial ต้องออกแบบโครงสร้างติดตั้งให้มีช่องว่างใต้แผงเพื่อเปิดรับแสงด้านหลัง และใช้วัสดุสะท้อนแสงพื้นผิว เช่น คอนกรีตสีอ่อนหรือกรวดสีขาว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่ Mono-facial ติดตั้งง่ายกว่าและใช้โครงสร้างรองรับทั่วไปโดยไม่ต้องพิจารณาปัจจัยสะท้อนแสงเพิ่มเติม ทั้งนี้ แผง Bi-facial มีศักยภาพในการผลิตพลังงานมากกว่า 5–25% ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการติดตั้ง
ส่วนประกอบหลักของแผงโซลาร์เซลล์แบบ Mono-facial และ Bi-facial
ส่วนประกอบ หลักๆ ของแผงทั้งสองประเภทจะคล้ายคลึงกัน เช่น กรอบของแผงทำจากวัสดุอลูมิเนียม มีกระจกปิดอยู่ที่บริเวณด้านหน้า และแผ่นหุ้มด้านหลัง (Backsheet) เป็นวัสดุประเภทพอลิเมอร์หรือการรวมกันของโพลีเมอ แต่สำหรับแผงแบบ Bi-facial จะมีความพิเศษตรงที่แผ่นหุ้มด้านหลังมักจะเป็นกระจกใส หรือวัสดุโปร่งแสงอื่นๆ เพื่อให้แสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากพื้นดินหรือพื้นผิวอื่นๆ สามารถเข้าสู่เซลล์แสงอาทิตย์ด้านหลังได้ ทำให้แผงแบบ Bi-facial ย่อมได้เปรียบกว่า เนื่องจากสามารถดักจับแสงได้จากทั้งสองทิศทาง ทำให้โดยเฉลี่ยแล้วสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าแผง Mono-facial ประมาณ 5-30% ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการติดตั้ง
ความเหมาะสมในการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์แบบ Mono-facial และ Bi-facial
สำหรับ ความเหมาะสมในการใช้งาน แผงแบบ Mono-facial เหมาะสำหรับการติดตั้งบนหลังคาทั่วไป หรือพื้นที่ที่ไม่คาดหวังแสงสะท้อนจากด้านล่างมากนัก ในขณะที่แผงแบบ Bi-facial จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเมื่อติดตั้งในบริเวณที่แสงสามารถสะท้อนมาด้านหลังแผงได้ดี เช่น บนพื้นผิวสีขาว กรวด หรือเมื่อติดตั้งแบบยกสูงจากพื้นดิน
แผงโซลาร์เซลล์แบบ Bi-facial เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า โดยอาศัยความสามารถในการรับแสงจากทั้งสองด้าน ทำให้เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ที่สามารถใช้ประโยชน์จากแสงสะท้อนได้ดี ซึ่งจะช่วยให้ได้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเมื่อเทียบกับแผง Mono-facial ในขนาดพื้นที่ติดตั้งเท่ากัน