Why Automation? ทำไมต้องมีระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม

ทำไมต้อง Automation?  

Why Automation? 

ในอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าหรือบริการ ทุกวันนี้ คำว่า “เร็ว” หรือ “ถูก” เพียงอย่างเดียวไม่พออีกแล้ว 
เพราะสิ่งที่ตลาดต้องการจริงๆ คือ… 

คุณภาพที่สม่ำเสมอ, ต้นทุนที่ควบคุมได้, และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว 

ทั้งสามส่วนจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มี Automation นี่คือเหตุผลที่ Automation ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีทางเลือก 
แต่คือ รากฐานของการผลิตยุคใหม่ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมในปัจจุบัน  

วิวัฒนาการของ Automation Technology 

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนและทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆด้านนี้มาจาก ข้อมูลจากระบบ, การสื่อสารระหว่างระบบ, เครือข่าย และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์  

จากอดีตที่ระบบในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยระบบลม…สู่ระบบไฟฟ้า…และวันนี้คือยุคของระบบที่ “คิด วิเคราะห์ และเชื่อมโยงได้” แบบเรียลไทม์ 

ช่วงสำคัญของวิวัฒนาการของเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ: 

  • 1940–1960: Pneumatic System (ระบบลม) 
  • 1960–2000: Analog  (ระบบไฟฟ้า เครื่องกล และไฮดรอลิก) 
  • 1980–1990: Digital (เฉพาะกลุ่ม) 
  • 2000–ปัจจุบัน: Digital – Open Network, Embedded System 

ปัจจุบันระบบควบคุมและ Automation ส่วนใหญ่ทำงานผ่านระบบเครือข่ายแบบเปิดและผสานเข้ากับระบบฝังตัว (embedded) อย่างแพร่หลาย โดยเราได้พูดถึงความสำคัญของระบบ Automation ไปบ้างแล้วในตอนที่แล้วแต่ก็ยังมีอีกหลายงาน (Task) ที่เป็นส่วนงานที่ซ้บซ้อนมากขึ้นที่จำเป็นต้องใช้ Automation ซึ่งเราจะค่อยพูดถึงในตอนต่อๆไป  

 

แล้ว Automation เริ่มจากอะไร? — Physical Processes 

ก่อนจะควบคุมระบบหรือกระบวนการให้ “อัตโนมัติ” ได้ 
อยากจะขอให้ความหมายของ กระบวนการทางกายภาพ” (Physical Process) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการควบคุม 

กระบวนการทางกายภาพสามารถแบ่งออกได้ 3 แบบหลัก: 

  1. Natural Processesระบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ร่างกายมนุษย์ควบคุมอุณหภูมิ 
  1. Self-regulated Processesระบบที่ถูกสร้างขึ้นและสามารถควบคุมได้ในตัว เช่น บ่อเก็บน้ำที่มีระดับน้ำล้นเอง 
  1. Industrial Processesระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นประกอบด้วยระบบทางกายภาพ ระบบเครื่องกล ระบบไฟฟ้า ระบบทางเคมีเป็นต้นเพื่อที่จะผลิตสินค้าหรือบริการตามต้องการ เช่น โรงงาน, ระบบควบคุมไฟจราจร เป็นต้น  

กระบวนการแบบที่ 3 ยังแบ่งลงไปได้อีกเป็น 3 ระดับคือ Application (Process Plants , Factories) , Operational (Continuous, Discrete, Batch) และ Physical (Localized, Distributed) ซึ่งขอไม่ลงรายละเอียด แต่ Industrial Processes คือรุปแบบของกระบวนการที่ Automation เข้ามาช่วย “ควบคุม” และ “พัฒนา” ให้ระบบผลิตได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง 

 

พูดง่ายๆ… 

หากคุณต้องการให้โรงงานทำงานได้ตลอดเวลา 
มีคุณภาพทุกชิ้นงาน 
และตอบสนองตลาดที่ต้องการความเร็ว 
Automation คือคำตอบ 

ในโพสต์ถัดไปจะอธิบายเพิ่มเติมในส่วนของกระบวนการ พฤติกรรมของระบบและการจัดการและขั้นตอนการทำงานพ้นพิ้นฐานของระบบอัตโนมัติ  
และหลังจากนั้นจะค่อยๆ พาไปดูว่าแต่ละส่วนของระบบอัตโนมัตินั้นทำงานร่วมกันอย่างไร 
ตั้งแต่ Sensor → Controller → Actuator 

ระบบอัตโนมัติ-ในโรงงาน

กระบวนการจนพัฒนามาเป็น ระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม 

ในโพสต์นี้จะขอต่อจากโพสต์ก่อนหน้าโดยเริ่มจาก “โครงสร้างของกระบวนการ” กันก่อนจะขยับไปที่พฤติกรรมของการะบวนการ การจัดการ สัญญาณที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการไปจนถึง workflow ของ Automation 

Localized Process vs Distributed Process 

Localized Processes 
หมายถึงกระบวนการที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกัน อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องจักร, ปั๊ม, วาล์ว และเซนเซอร์ จะตั้งอยู่ในจุดเดียวหรือบริเวณเดียวกัน ง่ายต่อการควบคุมและการสื่อสารสัญญาณ 

ตัวอย่างเช่น: 

  • โรงงานรีดเหล็กแผ่น 
  • สถานีบำบัดน้ำเสียขนาดเล็ก 

Distributed Processes 
เป็นกระบวนการที่กระจายตัวออกไปในพื้นที่กว้าง ใช้อุปกรณ์ควบคุมหลายตัวเชื่อมโยงกันผ่านเครือข่ายการสื่อสาร เช่น Ethernet, Fieldbus หรือ Wireless 

ตัวอย่างเช่น: 

  • ระบบจ่ายน้ำในเมืองใหญ่ 
  • ระบบจ่ายไฟฟ้าระดับภูมิภาค 

สรุปง่ายๆ: 

Localized = ควบคุมในพื้นที่เดียว 
Distributed = ควบคุมข้ามพื้นที่ เชื่อมโยงหลายหน่วยงาน 

ลองดูรูปเพื่อเปรียบเทียบอย่างง่ายระหว่างกระบวนการทั้งสองรูปแบบ  

Process Behavior  

ทุกกระบวนการไม่ได้ดำเนินไปตามที่เราคาดหวังเสมอ 
ดังนั้นพฤติกรรมของกระบวนการขึ้นอยู่กับ ตัวแปร ที่เป็นปัจจัยทั้งจากภายในและภายนอก 

ตัวอย่างปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมของระบบ: 

  • Input Variability: เช่น แรงดันน้ำ, อุณหภูมิของวัตถุดิบ 
  • Internal Condition: เช่น ความสึกหรอของอุปกรณ์, การเสื่อมสภาพของเซนเซอร์ 
  • External Disturbances: เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ, ไฟฟ้าตก 

ดังนั้น: 

เพื่อควบคุมกระบวนการได้แม่นยำ จำเป็นต้องวิเคราะห์พฤติกรรมโดยนำข้อมูลผ่านสัญญาณประเภทต่างๆที่เราได้จากกระบวนการเพื่อให้ระบบควบคุมรู้และสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างทันท่วงที 

 

Process Management (การจัดการกระบวนการ) 

การจัดการกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรมแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ: 

🔹 Unattended Process: 
ปล่อยให้กระบวนการดำเนินไปเอง ไม่มีการควบคุมอย่างจริงจัง ความเสี่ยงสูงมาก 

🔹 Attended Process: 
มีคนดูแล ตรวจสอบกระบวนการเป็นระยะๆ แต่ยังใช้การตัดสินใจด้วยคนที่ดูแลกระบวนการนั้นๆ (Manual Decision) 

🔹 Automated Process: 
เป็นกระบวนกที่มี Workflow ดังนี้คือ ระบบวัดค่าเอง วิเคราะห์เอง ตัดสินใจเอง ส่งคำสั่งควบคุมเอง 
คือจุดที่นำไปสู่ความแม่นยำ ปลอดภัยและสม่ำเสมอ 

พูดโดยสรุปก็คือ อนาคตของกระบวนการของโรงงานต้องมุ่งไปสู่ Automated Process เพื่อลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์และเพิ่มความยั่งยืนในการผลิต 

 Process Signal (สัญญาณในระบบกระบวนการ) 

การสื่อสารในกระบวนการที่ควบคุมระบบแบบอัตโนมัติต้องอาศัย “สัญญาณ” ที่ถูกต้องเหมาะสมกับแต่ละกระบวนการ 

ประเภทของสัญญาณมีดังนี้  

  • Discrete (Digital) Signal: 
    เปิด/ปิด เช่น สัญญาณจาก Limit Switch, Push Button 
  • Continuous (Analog) Signal: 
    ค่าต่อเนื่อง เช่น 4–20 mA สำหรับวัดอุณหภูมิ, ความดัน 
  • Pulse Signal: 
    สัญญาณเป็นชุดจังหวะ เช่น Encoder นับรอบหมุน 

ดูลักษณะของสัญญาณได้ตามภาพ  

สัญญาณในกระบวนการจะถูกแบ่งเป็น Input และ Output โดยสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจากกระบวนการและรับโดยระบบควบคุมอัตโนมัติจะเรียกว่า Input Signal ส่วน Output Signal เป็นสัญญาณที่ถูกส่งออกจากระบบควบคุมอัตโนมัติกลับไปที่กระบวนการเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานควบคุมให้เป็นไปตามที่กำหนด ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการ Input และ Output Signal สามารถแสดงให้เห็นอย่างง่ายตามภาพ  

ตัวอย่างที่มีการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม;  
เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ (Input) → PLC วิเคราะห์ เปิด/ปิดวาล์วควบคุม (Output) 

 

การทำงานควบคุมแบบอัตโนมัติมีขั้นตอนการทำงานอย่างไร? 

การควบคุมกระบวนการแบบอัตโนมัติคือการจัดการการติดตามและควบคุมกระบวนการทางอุตสาหกรรมแบบอัตโนมัติเพื่อให้ได้ผลตามต้องการอย่างสม่ำเสมอโดยปราศจากการแทรกแซงของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งระบบอัตโนมัติโดยทั่วไปก็จะมีขั้นตอนการทำงานเป็นแบบ Sequential , Cyclical และ Continuous ขึ้นกับการออกแบบเพื่อปรับปรุงกระบวนการให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างสม่ำเสมอ 

ส่วนขั้นตอนการทำงานแบบอัตโนมัติโดยทั่วไปจะประกับด้วยขั้นตอนดังนี้  

  1. Data Acquisition: รับข้อมูลจากกระบวนการด้วยอุปกรณ์เซนเซอร์ 
  1. Data Processing & Analysis: Controller วิเคราะห์ข้อมูลตาม Logic ที่ตั้งไว้ 
  1. Control Execution: ส่งสัญญาณควบคุมอุปกรณ์ 
  1. Feedback Monitoring: วัดผลลัพธ์ และวนกลับไปวิเคราะห์ใหม่ 

จุดเด่นของ Automation คือการควบคุมกระบวนการแบบ ปิดลูป” (Closed Loop Control) ซึ่งช่วยเพิ่มเสถียรภาพ ความแม่นยำ ความต่อเนื่องสม่ำเสมอของการทำงานของกระบวนการซึ่งก็จะสะท้อนผลลัพธ์ไปที่ประโยชน์ต่างๆดังนี้  

ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) 
เพิ่มความสม่ำเสมอในการผลิต 
ประหยัดพลังงาน และต้นทุนระยะยาว 
รองรับการผลิตแบบ 24/7 
ปรับตัวได้เร็วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการ 
เพิ่มความปลอดภัยของแรงงานในพื้นที่เสี่ยง 

สุดท้ายแล้ว:   

Automation คือการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่ทุกอุตสาหกรรมควรจะปรับและประยุกต์นำมาใช้งาน 

ในโพสต์ถัดไปจะขอปรับเปลี่ยนโทนจากเรื่องที่ค่อนข้างเป็นเชิงหลักการพื้นฐานไปเรื่องอื่นที่เบาลงแต่ก็ยังอยู่ในบริบทของ Automation  

สำหรับโพสต์นี้อาจจะยาวไปนิดนึงต้องขออภัยทุกท่าน อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อน หากมีความเห็นหรือต้องการคอมเม้นท์ให้ปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหาก็สามารถส่งเข้ามาได้ครับ  

Contact Us

 

West Coast Engineering Company Limited (WCE)

🌐 www.wce.co.th

✉️ international@wce.co.th

📞 +66 (0) 65-9376283

 

Your Turn Key Engineering Solution 

We engineer your sucCEs

✉️

Purchasing Department : phaiboono@wce.co.th   |   Human Resources and Administration Department : hrmwce@wce.co.th   |   Sales Department : international@wce.co.th

Headquarters Bangkok

16 K&Y Building 5 Fl., Surasak Road, Silom Sub-District, Bangrak District, Bangkok, 10500
Mobile Phone +66 (06) 5937 6283 
Fax +66 (0) 2233 6669

Factory Bang Saphan

9/1 Moo 4, BanKlangNa – YaiPloy Road, Maerumphueng, BangSaphan, PrachuapKhiriKhan 77140
Telephone +66 (0) 3290 6112 – 119
Fax +66 (0) 3290 6120