ประเทศไทยกำลังผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … (หรือที่เรียกกันว่า พ.ร.บ.โลกร้อน) ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศที่จัดตั้งกลไกการบริหารจัดการและลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2050
วัตถุประสงค์หลักของการออก พ.ร.บ.
การออกกฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:
1. บรรลุเป้าหมาย Net Zero: สร้างกลไกทางกฎหมายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
2. ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ: ให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ได้ให้สัตยาบันไว้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
3. สร้างความสามารถในการปรับตัว: จัดทำแผนและกลไกเพื่อช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรรมและสาธารณสุข สามารถ ปรับตัวต่อผลกระทบ ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และความแปรปรวนของสภาพอากาศ
4. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: จัดตั้งกลไกทางเศรษฐศาสตร์ เช่น การซื้อขายคาร์บอน เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจไทยลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยง มาตรการกีดกันทางการค้า ที่เกี่ยวกับคาร์บอน (เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป)
การประกาศใช้และผู้เกี่ยวข้อง
จะมีการประกาศใช้นโยบายนี้เมื่อไหร่?
ปัจจุบัน (ต.ค. 2568) ร่าง พ.ร.บ. นี้ยัง อยู่ในระหว่างการพิจารณา ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนนำเข้าสู่รัฐสภา คาดการณ์ว่าจะมี ผลบังคับใช้จริงภายในปี 2569 – 2570 (ขึ้นอยู่กับขั้นตอนทางกฎหมาย)
ใครเกี่ยวข้องบ้าง?
กฎหมายนี้จะเกี่ยวข้องกับ ทุกภาคส่วน ในประเทศ แต่จะมุ่งเน้นการบังคับใช้กับ ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ และภาคส่วนที่มีนัยสำคัญต่อการปล่อยคาร์บอน ได้แก่:
· ภาคอุตสาหกรรม: เช่น โรงไฟฟ้า, โรงกลั่นน้ำมัน, โรงงานเหล็ก, ซีเมนต์
· ภาคการขนส่ง: เช่น โลจิสติกส์ และสายการบิน
· ภาคเกษตรกรรมขนาดใหญ่ และ การจัดการของเสีย
หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ คือ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE)
บังคับใช้อย่างไร?
พ.ร.บ.โลกร้อน จะใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์และกฎหมายเข้ามากำกับดูแลภาคเอกชน โดยมีสาระสำคัญที่บังคับใช้ ได้แก่:
· การรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ: ธุรกิจกลุ่มเป้าหมายต้อง รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่อภาครัฐ
· ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS): รัฐจะกำหนด “โควตาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” (Cap) สำหรับอุตสาหกรรมรายใหญ่ หากปล่อยเกินโควตาจะต้อง ซื้อสิทธิการปล่อย
· กองทุนภูมิอากาศ: จัดตั้งกองทุนเพื่อ สนับสนุนทางการเงิน เช่น ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ธุรกิจที่ลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว
พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับนี้เป็น จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่ยกระดับการจัดการปัญหาโลกร้อนไปสู่ การบังคับใช้ทางกฎหมาย ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการ วัดผล ปรับตัว และ ลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เพื่อลดความเสี่ยงด้านต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก
